วันนี้ ST-CLEANAIR ขออาสามาบอกพวกเราแบบเน้นๆ เนื้อๆ ว่าการซื้อเครื่องฟอกอากาศนั้น แท้จริงแล้ว
ต้องรู้อะไรบ้าง มาฟังกันทีละข้อพร้อมกันเลย
สารบัญ
ซื้อเครื่องฟอกอากาศทั้งที ต้องรู้อะไรบ้าง
1. พื้นที่
2. เทคโนโลยี
3. แผ่นกรอง
- แผ่นกรองหยาบ (Pre-Filter)
- แผ่นกรองละเอียด (Main-Filter)
- แผ่นกรองกลิ่น (Activated Charcoal)
4. ราคา
5. ความทนทาน
<h3style=”color: black;”>สินค้าพร้อมจำหน่าย คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม
เครื่องฟอกอากาศ
เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญและจำเป็นมากสำหรับบ้านเรือนและออฟฟิศ สำนักงานต่างๆ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่วิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่เข้ามาในช่วงปลายปี2019 ที่ทำให้คนตระหนักและรู้สึกถึง ภัยอันตรายของมลพิษทางอากาศ
แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คงจะไม่พ้นวิกฤตเชื้อไวรัสโคโรนาระบาด (COVID-19 Outbreak) จากพื้นที่ระบาดเล็กๆในประเทศจีน นำไปสู่การระบาดที่ควบคุมไม่ได้ ในทุกประเทศทั่วโลกซึ่งวิกฤตนี้นับเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ทุกคน เลือกที่จะยอมควักเงินในกระเป๋าเพื่อซื้อเครื่องฟอกอากาศเพื่อป้องกันเจ้าเชื้อไวรัสสุดอันตรายนี้
แต่ที่ผ่านมา ปัญหาส่วนมาก ที่พบได้ในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ คือ แต่ละคนไม่รู้ว่า จะต้องซื้อเครื่องฟอกฯอะไร ประเภทไหน หรือ ต้องซื้อเครื่องฟอกฯเครื่องใหญ่หรือเครื่องเล็ก ส่วนมากแล้ว แค่อยากซื้อเพราะซื้อตามใจของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขต่างๆ ซื้อเครื่องฟอกอากาศ เพื่อให้รู้สึกอุ่นใจว่ามีบ้านปลอดภัยจากไวรัสCOVID-19
หรือฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง

1. พื้นที่
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะบอกคุณว่า คุณควรซื้อเครื่องฟอกอากาศขนาดเท่าใด เพราะเครื่องฟอกอากาศแต่ละประเภท แต่ละแบรนด์ และแต่ละรุ่นนั้น ออกแบบมาให้เพื่อขนาดของพื้นที่ๆแตกต่างกัน
เครื่องฟอกอากาศ แบรนด์A ราคา 10,000 บาท ใช้สำหรับพื้นที่ 20 ตารางเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับห้องนอนเล็กๆ 1 ห้อง ในขณะที่เครื่องฟอกอากาศ แบรนด์B ราคา 7,000 บาท ใช้สำหรับเครื่องฟอกอากาศ 50 ตารางเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับห้องรับแขกของบ้านทั่วๆไป 1 ห้องใหญ่ ทีนี้ ถ้าบ้านของเราพื้นที่ 35 ตารางเมตร เราคงตัดสินใจได้แล้ว
ซึ่งก็คือ แบรนด์B นั้นเอง เพราะพื้นที่นั้นๆ ของเรา รองรับเครื่องฟอกอากาศแบรนด์B ซึ่งคือ 50 ตารางเมตร แต่ถ้าเราสงสัยว่า ใช้แบรนด์A ได้หรือไม่ คำตอบคือได้! แต่จะใช้เวลานานมาก กว่าพื้นที่ห้องๆนั้นจะบริสุทธ์หรือปลอดภัย
ซึ่งการซื้อเครื่องฟอกอากาศ เราทุกคนก็อยากให้อากาศบริสุทธ์ไวๆ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงกับการสัมผัสเชื้อโรค และ
ไวรัสต่างๆ ใช่มั้ยครับ ถ้าเราซื้อเครื่องฟอกที่ผิดประเภท อาจทำให้เราต้องรอกว่า 30 นาที กว่าอากาศจะสะอาด 1 รอบ ซึ่งถ้าช้าปานนั้น ไวรัสCOVID-19 คงลงไปที่ปอดเราเรียบร้อยแล้วครับ
2. เทคโนโลยี
เครื่องฟอกอากาศแต่ละแบรนด์ ใช้เทคโนโลยีในการกำจัดฝุ่น เชื้อไวรัส เชื้อโรค อื่นๆ ด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน บ้างก็ใช้เทคโนโลยีของUV ในการกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัส บางแบรนด์ก็เลือกใช้ พลาสมา หรือไฟฟ้าสถิต (Electrostatic)
โดยการปล่อยประจุบวกเข้าไปทำลายเชื้อไวรัส ฝุ่น หรือบางแบรนด์อ้างว่าใช้เทคโนโลยีสุดล้ำต่างๆ ซึ่งก็ว่ากันไป
ตามเนื้อผ้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเลือกเทคโนโลยีที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดและใช้กันมาอย่างยาวนาน
เพราะ จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า ประสิทธิภาพหรือคุณภาพอากาศที่จะได้รับ มีมาตรฐานและการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเทคโนโลยี HEPA Filter คือเทคโนโลยีที่มีมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทหารใช้แผ่นกรองHEPA ในการกรองเชื้อไวรัสและสงครามชีวภาพต่างๆ จนไปถึงเทคโนโลยีอวกาศของNASA และการบิน(Aviation) ในปัจจุบัน
โดย HEPA Filter ก็คือการใช้แผ่นกรอง HEPA นั้นเอง
โดยพื้นฐานนั้น เครื่องฟอกอากาศทุกชนิด จะมีเจ้าแผ่นกรองตัวนี้ แต่บางแบรนด์อาจจะไม่มี ซึ่งก็ต้องพิจารณาอีกที
แต่ที่สำคัญ คุณมั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีนี้ปลอดภัย ไม่มีอันตราย เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ แน่นอน ซึ่งทางเรา
จะมาอธิบายในบทความหน้าว่าทำไม HEPA จึงเป็นการกรองที่ปลอดภัยที่สุดของเทคโนโลยีเครื่องฟอกอากาศ

3. แผ่นกรอง
ส่วนประกอบหลักที่เป็นกุญแจหลักในการฟอกอากาศให้บริสุทธ์ ซึ่งก็คือแผ่นกรองอากาศ(Filters)
โดยแผ่นกรอง แต่ละชนิด เปรียบเสมือนด่านทหารแต่ละด่านในการกันเชื้อโรค ฝุ่น และกลิ่นออกไป และแผ่นกรอง
แผ่นสุดท้าย ซึ่งส่วนมาก จะถือเป็นประตูบานสุดท้าย ที่จะปล่อยอากาศบริสุทธ์ให้กับเราได้สูดได้เต็มปอด
แต่ทว่า คนส่วนมาก ให้ความสำคัญกับส่วนนี้น้อยมากๆ เพราะ คิดแค่ว่า ซื้อเครื่องฟอกฯแล้ว ก็จบแล้ว แต่ประเด็นคือ ไม่รู้ว่าเครื่องที่ตนเองจะซื้อมีแผ่นกรองให้ครบหรือไม่ หรือจะซื้อทั้งที ควรจะรู้ว่ามีแผ่นกรองอะไรบ้าง หลักๆแล้ว เราต้องรู้ลำดับของแผ่นกรองของเครื่องฟอกอากาศ ดังนี้
- แผ่นกรองหยาบ (Pre-Filter) คือ ด่านชั้นแรก หรือ แผ่นกรองลำดับที่ 1 ในการกรองอากาศเสีย โดยส่วนมาก
จะเป็นการกรองฝุ่นขนาดใหญ่ขนาด PM10 หรือมากกว่า หรือฝุ่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น ดิน เม็ดทราย ขนของสัตว์เลี้ยง เป็นต้น - แผ่นกรองละเอียด (Main-Filter) คือ ด่านชั้นที่สอง หรือ แผ่นกรองลำดับที่ 2 ซึ่งแต่ละแบรนด์จะมีการกรอง
ที่แตกต่างกัน บางแบรนด์จะเน้นการใช้ไฟฟ้าสถิต บางแบรนด์จะเน้นการใช้หลอดไฟUV ในการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งก็เป็นแต่ละแบรนด์ไป แต่เครื่องฟอกฯส่วนมากจะเป็น HEPA Filter แผ่นกรองอนุภาคแบบละเอียด โดยสามารถกรองฝุ่นได้ถึง0.3 ไมครอน ประสิทธิภาพมากกว่า 95% และถ้าความหนาของ แผ่นกรองละเอียดหนามาก ก็จะยิ่งสามารถกรองฝุ่นที่ละเอียดและเล็กมากขึ้น รวมถึงอายุการใช้งานได้ยาวนาน - แผ่นกรองกลิ่น (Activated Charcoal) คือ ด่านที่สาม หรือ แผ่นกรองลำดับที่ 3 เป็นแผ่นกรองที่กรองกลิ่น และสารเคมีต่างๆไว้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของถ่านกัมมันต์ที่เป็นสารดูดซับ(Absorbent) ซึ่งแผ่นกรองชนิดนี้
จะเป็นส่วนประกอบของแผ่นกรองของทุกแบรนด์อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญ ที่อยากให้พิจารณา คือ น้ำหนัก และความหนา เพราะหากแผ่นกรองบางแบรนด์ อาจจะเป็นเหมือนการ “แปะ” เศษถ่านกัมมันต์ ซึ่งท้ายที่สุด แผ่นกรอง
แทบไม่มีคุณภาพและเป็นการดูถูกผู้ซื้อ เพราะเหมือนเป็นการลดต้นทุนเพื่อขายให้จบๆ
ตอนนี้เราคงทราบแล้วว่า แผ่นกรองของเครื่องฟอกอากาศ หลักๆ มักจะประกอบด้วย 3 ชั้น ตามที่ได้อธิบายไป
แต่ในปัจจุบัน เครื่องฟอกฯตามชั้นนำทั่วไปมักไม่ได้มีการกรองด้วยแผ่นกรอง 3 ชั้น บางแบรนด์ อาจจะกรอง 5 -7 ชั้น
แต่สุดท้ายแล้ว จำนวนชั้นหรือแผ่นกรองที่เยอะ ไม่ได้การันตีว่าการกรองอากาศจะมีคุณภาพ โดยที่สุดแล้ว เราจะต้องดูองค์ประกอบเงื่อนไขต่างๆ ทั้งราคา วัสดุที่ใช้ อายุการใช้งานของแผ่นกรอง และที่สำคัญที่สุด ความหนาของแผ่นกรอง เพราะยิ่งหนา ยิ่งใหญ่ ยิ่งกรองได้ละเอียด ยิ่งใช้ได้ยาวนาน
4. ราคา
นอกจากพื้นที่ ที่เรามักไม่รู้ว่าควรจะซื้อเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับพื้นที่ ก็คือราคานี่แหละครับ เพราะ
มันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเลือกซื้อคุณภาพของเครื่องฟอกอากาศแต่ละแบรนด์ โดยทั่วไป เรามักต้องหาของที่ดีและถูกให้กับตัวเองอยู่แล้ว
หลักเกณฑ์นี้ อาจจะใช้ได้กับอาหาร หรือของบางอย่าง แต่ไม่ใช่สำหรับเครื่องฟอกอากาศแน่นอน เพราะอะไร เพราะว่า
ถ้าเครื่องฟอกอากาศราคาต่ำ นั้นหมายความว่า วัสดุที่ผู้ผลิตใช้ ต้องเป็นของที่ไม่มีคุณภาพแน่นอน
นี่ไม่ใช้การบอกเพื่อโจมตีหรือดิสเครดิตคู่แข่ง เพราะความจริง ตัวของผู้เขียน ได้ใช้เครื่องฟอกฯราคาต่ำหลายแบรนด์ สิ่งที่พบคือ แบรนด์ชั้นนำที่คนนิยมใช้ ใส่แผ่นกรอง EPA ซึ่งเป็นแผ่นกรองเกรด B จริงๆแล้ว แผ่นกรองนี้ก็ใช้ได้แหละ แต่มันไม่ควรใช้มากกว่า เพราะไม่มีประสิทธิภาพ
แต่แบรนด์ก็เลือกที่จะหลอกผู้ซื้อ เพราะผู้ซื้อส่วนมากไม่ทราบอยู่แล้วว่ามีแผ่นกรองอะไรบ้าง ดังนั้น ทางผู้เขียน
ขอให้พวกเราให้ความสำคัญกับราคา ด้วยการไม่คิดแค่ว่า เครื่องฟอกอากาศแบรนด์นี้ราคาสูงเกินไป แต่ขอให้มองถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และความยาวนานของตัวเครื่องและแผ่นกรองเป็นหลักครับ
5. ความทนทาน
มาถึงกับข้อสุดท้าย นั้นก็คือ ความทนทาน นั้นเอง ความทนทานที่ว่านี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ เครื่องฟอกอากาศที่คุณจะซื้อ อยู่ได้กี่ปีและทนน้ำ ทนฝนได้ซักเท่าไร แต่หมายถึง อายุการใช้งานของส่วนประกอบของเครื่องฟอกอากาศทั้งหมด ตั้งแต่มอเตอร์ของเครื่องที่ควรใช้งานได้ยาวนานกว่า 8 ชั่วโมง หรือยิ่งมากกว่านั้น ยิ่งดี
โดยเฉพาะหากมอเตอร์มีการตัดไฟล่วงหน้า หรือเช่น Thermal Protection ที่ตัดไฟเมื่อความร้อนของมอเตอร์สูง
ก็จะทำให้เราอุ่นใจและสบายใจได้มากยิ่งขึ้น ส่วนของแผ่นกรอง ควรที่จะนำกลับมาใช้ได้ ในส่วนนี้ หมายถึง
แผ่นกรองหยาบ หรือ Pre – Filter นะครับ เพราะ HEPA Filter กับ Activated Charcoal Filter ไม่มีการนำมาใช้ใหม่เด็ดขาด
เมื่อใช้แล้ว และถึงอายุหรือเวลาต้องเปลี่ยน ก็จะต้องเปลี่ยนใหม่นะครับ แต่การเปลี่ยนแผ่นกรองนี้ ไม่ควรที่จะเร็วเกินไป เพราะไม่ใช่แค่เพิ่มในส่วนของค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แต่จะทำให้เรา เบื่อ และ หงุดหงิด เพราะตามธรรมชาติ คนเราไม่ชอบอะไรที่ต้องซ่อม ต้องเปลี่ยนใหม่ ซ้ำๆ ตลอดเวลา เพราะยิ่งเปลี่ยนบ่อยเท่าไร ยิ่งทำให้เราเบื่อมากเท่านั้น
ดังนั้น หากเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศได้ ให้มองเครื่องฟอกที่มีแผ่นกรองที่มีขนาดหนา และใหญ่ เพื่อที่เราจะได้เลือกของที่มีประสิทธิภาพและคงอยู่กับเรานานๆ นะครับ